เล็งสั่งปิดมหาวิทยาลัยห้องแถวร้อยกว่าแห่งทั่วประเทศ
+โพสต์เมื่อวันที่ : 26 ก.พ. 2553
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหากรณีที่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชธานี จ.อุบลราชธานี ร้องเรียนให้นายกรัฐมนตรีแก้ปัญหากรณีมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรพยาบาลให้เรียนเกินโควตาที่รับสอนได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยสั่งปิดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมาที่มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน คือเปิดหลักสูตร ทั้งที่รู้ว่าไม่มีศักยภาพเพียงพอ
นอกจากนี้ยังสั่งให้ดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญา เพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง แม้จะมีการขอร้องกันเพราะเจ้าของเป็นอดีตส.ว.ก็ตาม แต่ตนไม่สนใจเพราะถือว่าหากินกับเด็กๆ โดยหวังค่าเล่าเรียนเท่านั้น ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบมหาวิทยาลัยที่มีลักษณะเช่นนี้คือไปเช่าอาคารพาณิชย์ แล้วเปิดสอนบางสาขาที่คนนิยมมาก อย่างพยาบาล ซึ่งพบว่ามีนับร้อยแห่งทั่วประเทศ ซึ่งท้ายสุดผลเสียก็ตกอยู่กับนักศึกษาที่จบการศึกษาไป เพราะบางสาขาต้องมีใบประกอบวิชาชีพ แต่มหาวิทยาลัยเหล่านั้นไม่มี
ส.ค.ศ.ท.เสนอแนวทางการแก้ปัญหาขาดแคลนครู
+โพสต์เมื่อวันที่ : 23 ก.พ. 2553
อีก ๑๐ ปีข้างหน้า ครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะเกษียณจำนวนกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน จากจำนวนครูที่มีอยู่จำนวน ๔๒๐,๐๐๐ คน สาขาที่มีครูเกษียณมากที่สุดคือ ครูภาษาไทย ซึ่งหากภาษาไทยไม่เข้มแข็งแล้ว ก็โยงไปสู่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ไม่เข้มแข็งด้วย
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้พบหารือกับสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) จาก ๗๔ สถาบัน เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่ห้องประชุมกระทรวงศึกษาธิการ
รมว.ศธ.กล่าวว่า ส.ค.ศ.ท.เป็นสถาบันที่ดูแลการผลิตครูทั่วประเทศ ได้นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาขาดแคลนครู ซึ่งอีก ๑๐ ปีข้างหน้า ครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะเกษียณจำนวนกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน จากจำนวนครูที่มีอยู่จำนวน ๔๒๐,๐๐๐ คน สาขาที่มีครูเกษียณมากที่สุดคือ ครูภาษาไทย ซึ่งหากภาษาไทยไม่เข้มแข็งแล้ว ก็โยงไปสู่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ไม่เข้มแข็งด้วย ส.ค.ศ.ท.จึงได้ศึกษาสภาพปัญหาของสถาบันผลิตครูที่มีครูแยกตัวออกไปเนื่องจากการขยายตัวของสถาบันอุดมศึกษา และได้เสนอทางออกดังนี้
- จัดสรรอัตราพิเศษไปให้สถาบันผลิตครูซึ่งมีครูที่เข้มแข็งในบางสาขา
- พัฒนาครูที่ยังไม่จบปริญญาเอก ให้มีโอกาสศึกษาต่อ
- สนับสนุนให้ครูที่จบปริญญาเอกแล้ว ได้มีโอกาสศึกษาต่อเพิ่มเติม
- ให้มีความเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น สพฐ., สกอ.โดยเชิญครูต้นแบบ ครูแห่งชาติ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน
รมว.ศธ.กล่าวถึงปัญหาขาดแคลนครูว่า ต้องมีการเตรียมการที่ชัดเจนในการผลิตครูมารองรับทั้งระบบ รวมทั้งจะมีการลงทุนเพื่อการศึกษาโดยทำ Mega Project เรื่องการศึกษา มีการทำ Roadmap ที่ชัดเจน ในการบริหารจัดการศึกษาแบบใหม่ โดยต้องให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัยที่เปิดคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ต้องประกาศความสมัครใจภายใต้ศักยภาพที่พร้อมเป็นศูนย์ผลิตและพัฒนาครู ที่เป็นมืออาชีพและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ต้องมีแผนการลงทุนมหภาคที่ชัดเจน จัดอัตรากำลังครูที่ชัดเจนว่าครูประเภทใดที่จะเป็นต้นแบบ ครูต้องผ่านการเรียนหลักสูตรการผลิตครูที่แท้จริงอย่างน้อย ๕ ปี และมีกระบวนการเข้มข้นมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนศักยภาพในแต่ละสาขาจากสถาบันต่างๆ มีคณะกรรมการที่ดูแลยุทธศาสตร์เรื่องนี้อย่างจริงจัง คือ คณะกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติ เมื่อมีการผลิตแล้วก็ต้องทำระบบพัฒนาครูอย่างยั่งยืน เปลี่ยนกรอบความคิดครูจากสอนหนังสือเป็นสอนคนต่อไป จะให้คณะกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติมาดู โดยจะจัดทำเครือข่ายเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
รมว.ศธ.ขอให้มีการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้ของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เรื่องทำอย่างไรให้เด็กอยากอ่านหนังสือ รวมถึงการปรับคุณธรรมให้เข้มแข็งขึ้น ภายใต้เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง และให้วิจัยถึงห้องเรียนด้วยเพื่อนำมาเป็นต้นแบบ ทั้งนี้จะพัฒนาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ให้อยู่ในความสนใจของนักเรียน โดยจะขอแก้ไข พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และจะขอเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำของครูให้สูงขึ้น เพื่อจูงใจให้คนเก่งมาเป็นครูให้มากขึ้น.
ที่มา www.kroobannok.com/show_all_article.php?cat_id=29
วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
สรุปบทความ
แนวทางของการออกแบบองค์ประกอบทางทัศนะ
สารสนเทศที่นำเสนอด้วยการมองเห็นหรืออ่าน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน มีแนวทางในการออกแบบ ได้แก่
1. ควรนำเสนอสาระพอควรในแต่ละหน้าจอ ไม่ควรบรรจุสาระแน่น เกินไป ทำให้ลดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องใช้เวลามากในการเรียนรู้ และทำให้ผู้เรียนยิ่งผิดพลาดมากขึ้น
2. กรณีที่ต้องมีการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ควรเสนอสาระนั้นๆเป็นกลุ่มย่อยๆ และเป็นช่วงๆ ด้วยวิธีการนำเสนอ สร้างหน้าจอซ้อน วินโดวส์แทรก หรือปุ่มสัญรูปให้ผู้เรียนกด
3. กรณีใช้กรอบวินโดวส์เพื่อรวมหรือแยกสารสนเทศออกจากกัน ในการนำเสนอ เพื่อวัตถุประสงค์ ได้แก่
3.1. ดึงความสนใจของผู้เรียนไปยังสาระบางอย่าง
3.2. เพื่อลดความแน่นของหน้าจอ
3.3. สร้างรูปแบบการนำเสนอ ให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับสาระ ในตำแหน่งบนหน้าจอต่างๆ
4. ใช้ปุ่มที่สื่อความหมายเป็นรูปธรรม ง่ายต่อความเข้าใจ และจูงความสนใจผู้เรียน
5. ให้ใช้การนำเสนอด้วยรูปภาพ ไดอะแกรม และโฟล์วชาร์ต ในกรณีที่สามารถนำเสนอสาระเหล่านั้นในรูปแบบที่แสดงความสัมพันธ์ได้ การเสนอภาพ จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม ง่ายต่อความเข้าใจและจำได้
6. เทคนิคที่ช่วยนิเทศก์ผู้เรียน
6.1. วางสาระ หรือ องค์ประกอบต่างๆ ในตำแหน่งที่คงที่
6.2. วางผังของหน้าจอ(เลย์เอ้าท์) ให้สม่ำเสมอในหน้าจอประเภทเดียวกัน
6.3. กำหนดรูปแบบของทัศนะบนหน้าจอให้คงที่ ถ้ามีความจำเป็นในการเปลี่ยน ควรทำการการชี้แนะให้ผู้เรียนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น
6.4. ใช้ขนาดของ สี และรูปร่าง เป็น ตัวชี้แนะ
6.5. ใช้ป้ายหรือสัญลักษณ์บอกตำแหน่ง ทำให้ผู้เรียนจำได้ว่าศึกษาอยู่ที่ส่วนใด ผ่านมาจากส่วนใด และมีส่วนใดอีกบ้าง และจะไปยังส่วนนั้นๆ ได้อย่างไร ซึ่งป้ายหรือสัญลักษณ์บอกตำแหน่งนี้ควรมีให้อ้างอิงโดยง่าย ที่จะไม่ต้องให้ผู้เรียนเคลื่อนย้ายจากตำแหน่งที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน
6.6. ให้มีมุมแบบนกมอง คือ สามารถมองได้ทั้ง ระยะไกล หรือ ใกล้จนเห็นรายละเอียด เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นกรอบอ้างอิง และให้ความรู้สึกว่าควบคุมได้ กรอบอ้างอิงนี้จะให้ผู้เรียนรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด มาจากที่ใด และจะสามารถไปยังที่ใดได้อีก การให้กรอบอ้างอิงนี้ผู้เรียนจะสามารถมุ่งเน้นอยู่กับเนือ้หาสาระในโปรแกรมการเรียน
7. เทคนิคในการกำหนดตำแหน่งสาระบนหน้าจอ
7.1. วางสาระสำคัญในตำแหน่งที่สำคัญหรือส่วนบนของหน้าจอ หลีกเลี่ยงการวางไว้ในตำแหน่งริม
7.2. แสดงสาระที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างหน้าจอ ต่อ หน้าจอ เช่น เนื้อหาของการสอน ไว้บริเวณส่วนกลางของหน้าจอ
7.3. วางสาระที่บอกสิ่งที่แสดงอยู่ปัจจุบัน เช่น เมนู ไว้ในตำแหน่งที่คงที่
7.4. แสดงปุ่มการนำทางไว้ใกล้ขอบของหน้าจอ
8. เมื่อต้องการแสดงสาระสำคัญที่ต้องการดึงดูด หรือ นำสายตาผู้เรียน ให้ใช้เทคนิค เช่น
8.1. ลูกศร ป้ายชื่อ การบรรยาย
8.2. แยกสาระนั้นออกมาต่างหาก ในรูปวัตถุใดวัตถุหนึ่ง
8.3. ใช้วินโดว์สโผล่
8.4. ใช้สีหรือรูปร่างเข้าช่วย
8.5. ใช้การไฮไลต์สี ทำขอบ หรือ เส้นใต้
8.6. มีการแยกสีหรือชนิดของอักษร
8.7. ทำตัวกระพริบ
9. เทคนิคที่ช่วยในการชี้แนะสาระ
9.1. ใช้การกระพริบ กรณีที่จำเป็น หรือ ต้องการดึงความสนใจผู้เรียนให้เกิดขึ้นทันที
9.2. ระวังขอบให้อยู่ห่างจากวัตถุที่ล้อมรอบ
9.3. ให้ไฮไลต์หรือใช้สีสว่างบริเวณที่ต้องการเน้น หรือทำให้สีพื้นเบื้องหลังมืดลง
9.4. จำกัดให้การไฮไลต์ไม่เกิน 10% ของหน้าจอ
9.5. หลีกเลี่ยงการใช้ตัวชี้แนะมากเกินไปในแต่ละครั้ง
10. เทคนิคเกี่ยวกับสี
10.1. จำกัดจำนวนของสีบนหน้าจอแต่ละครั้ง การใช้สีมากเกินไปทำให้ลดความคุณภาพและความสวยงาม
10.2. ให้ใช้สีอักษรเข้มบนพื้นสีอ่อน สีฟ้าคือสีพื้นหลังที่ดีที่สุด แต่อย่าใช้สีน้ำเงินหรือฟ้าเป็นตัวข้อความ ขอบ เส้น หรือ สิ่งต่างๆที่มีขนาดเล็ก
10.3. ให้หลีกเลี่ยงการใช้ตัวชี้แนะ (cue) ที่ใช้ความแตกต่างของสีเท่านั้น อาจใช้รูปร่างประกอบด้วย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สำหรับผู้เรียนที่มีความพิการทางการเห็นสี
การออกแบบและพัฒนาเลิร์นนิ่ง อ๊อบเจ็ค
การพัฒนาเลิร์นนิ่ง อ๊อบเจ็ค ต้องอาศัยทีมงานในการทำงานซึ่งประกอบด้วย อย่างน้อย ได้แก่
1) ผู้ชำนาญด้านเนื้อหา
2)นักออกแบบการเรียนการสอน
3) นักออกแบบกราฟิก
4) ผู้เขียนโปรแกรม
ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.ขั้นตอนการพัฒนาเนื้อหา นักออกแบบหรือหัวหน้าผู้พัฒนาคอร์ส คือ ผู้ที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้ เป็นหลัก โดยปรึกษาประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และอาจปรึกษากับทีมงานกราฟิกและโปรแกรมในช่วงของการเขียนสตอรี่บอร์ด โดยดำเนินการ ดังนี้
1.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ หรือขีดความสามารถของผู้เรียนที่ต้องการ(competency)
1.2 กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยอาจเทียบเคียงกับกิจกรรมที่เคยใช้ในห้องเรียนที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน การเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้ง ค้นคว้าศึกษา กิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม จากแหล่งความรู้ทั่วไป และ ผู้สอนอื่นๆ
1.3 วิเคราะห์ผู้เรียน เช่น ลักษณะการเรียนรู้ (learning style) เป้าหมายทางการปฏิบัติงานหรืออาชีพ เพื่อกำหนดความเหมาะสมของกิจกรรม
1.4 เขียนสตอรี่บอร์ด (storyboard scripting) เป็นการกำหนด สิ่งที่จะปรากฏบนหน้าจอ รวมทั้ง การปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับโปรแกรมการนำเสนอเนื้อหา ซึ่งในขั้นตอนผู้ออกแบบจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิด และได้รับความตกลงเห็นพ้องกับทีมงานกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และทีมงานผลิต
1.4.1 กำหนดกรอบหรือมโนทัศน์ ภาพลักษณ์โดยรวม การใช้สัญลักษณ์ หรือ อุปมา ของ คอร์สทั้งหมด
1.4.2 เลือกองค์ประกอบของสื่อที่จะใช้ ซึ่งมีลักษณะของสื่อที่ต้องพิจาณา 2 ประเภท คือ Host stage media คือ สื่อที่เป็นฐานให้กับ เลิร์นนิ่ง อ๊อบเจคนั้นๆ เช่น เว็บเพจ จาวา และ Feature media เช่น ข้อความ เสียง คลิปวีดิทัศน์
1.5 เขียนโฟล์วชาร์ต (flowchart) การเขียนโฟล์วชาร์ต ช่วยสื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างหน้าจอแต่ละหน้า ในรูปแบบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งตอบสนองคุณสมบัติของสื่อผสมหลายมิติได้ดี ทั้งนี้ การเขียนสตอรี่บอร์ดทำหน้าที่แสดงรายละเอียดในแต่ละหน้า ซึ่งอาจไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างหน้า หรือข้ามไปยังหน้าอื่นๆ ได้ชัดเจน เท่าการเขียนแสดงในโฟล์วชาร์ตนำ หรือ กำกับไว้ด้วย
2. การผลิต ขั้นตอนนี้เป็นความรับผิดชอบของทีมงานสร้าง ซึ่งจะทำงานตามสตอรี่บอร์ด และแผนที่ได้วางไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1 ทีมงานผลิต ศึกษา โฟล์วชาร์ต และ สตอรี่บอร์ดโดยละเอียด
2.2 ทีมงานผลิต ให้คำแนะนำ เกี่ยวกับรูปแบบ และอาจเสนอประเด็นปัญหาในเชิงเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น ให้กับ นักออกแบบหรือหัวหน้าผู้พัฒนาคอร์ส เพื่อร่วมแก้ไข
2.3 ทีมงานผลิต กรณีที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ทีงานผลิตอาจแยกความรับผิดชอบงานออกเป็นชิ้นย่อย เช่น วัตถุสามมิติ วีดิทัศน์ เสียง จึงลงมือสร้าง และนำมารวบรวมในไซต์ที่กำหนดไว้ระหว่างการทดสอบ
เขียนโดย ปิยะวรรณ เตียวปิยกุล ห้องB เลขที่38 ที่ 22:34 0 ความคิดเห็น
สรุปบทความ
แนวทางของการออกแบบองค์ประกอบทางทัศนะ
สารสนเทศที่นำเสนอด้วยการมองเห็นหรืออ่าน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน มีแนวทางในการออกแบบ ได้แก่
1. ควรนำเสนอสาระพอควรในแต่ละหน้าจอ ไม่ควรบรรจุสาระแน่น เกินไป ทำให้ลดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องใช้เวลามากในการเรียนรู้ และทำให้ผู้เรียนยิ่งผิดพลาดมากขึ้น
2. กรณีที่ต้องมีการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ควรเสนอสาระนั้นๆเป็นกลุ่มย่อยๆ และเป็นช่วงๆ ด้วยวิธีการนำเสนอ สร้างหน้าจอซ้อน วินโดวส์แทรก หรือปุ่มสัญรูปให้ผู้เรียนกด
3. กรณีใช้กรอบวินโดวส์เพื่อรวมหรือแยกสารสนเทศออกจากกัน ในการนำเสนอ เพื่อวัตถุประสงค์ ได้แก่
3.1. ดึงความสนใจของผู้เรียนไปยังสาระบางอย่าง
3.2. เพื่อลดความแน่นของหน้าจอ
3.3. สร้างรูปแบบการนำเสนอ ให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับสาระ ในตำแหน่งบนหน้าจอต่างๆ
4. ใช้ปุ่มที่สื่อความหมายเป็นรูปธรรม ง่ายต่อความเข้าใจ และจูงความสนใจผู้เรียน
5. ให้ใช้การนำเสนอด้วยรูปภาพ ไดอะแกรม และโฟล์วชาร์ต ในกรณีที่สามารถนำเสนอสาระเหล่านั้นในรูปแบบที่แสดงความสัมพันธ์ได้ การเสนอภาพ จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม ง่ายต่อความเข้าใจและจำได้
6. เทคนิคที่ช่วยนิเทศก์ผู้เรียน
6.1. วางสาระ หรือ องค์ประกอบต่างๆ ในตำแหน่งที่คงที่
6.2. วางผังของหน้าจอ(เลย์เอ้าท์) ให้สม่ำเสมอในหน้าจอประเภทเดียวกัน
6.3. กำหนดรูปแบบของทัศนะบนหน้าจอให้คงที่ ถ้ามีความจำเป็นในการเปลี่ยน ควรทำการการชี้แนะให้ผู้เรียนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น
6.4. ใช้ขนาดของ สี และรูปร่าง เป็น ตัวชี้แนะ
6.5. ใช้ป้ายหรือสัญลักษณ์บอกตำแหน่ง ทำให้ผู้เรียนจำได้ว่าศึกษาอยู่ที่ส่วนใด ผ่านมาจากส่วนใด และมีส่วนใดอีกบ้าง และจะไปยังส่วนนั้นๆ ได้อย่างไร ซึ่งป้ายหรือสัญลักษณ์บอกตำแหน่งนี้ควรมีให้อ้างอิงโดยง่าย ที่จะไม่ต้องให้ผู้เรียนเคลื่อนย้ายจากตำแหน่งที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน
6.6. ให้มีมุมแบบนกมอง คือ สามารถมองได้ทั้ง ระยะไกล หรือ ใกล้จนเห็นรายละเอียด เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นกรอบอ้างอิง และให้ความรู้สึกว่าควบคุมได้ กรอบอ้างอิงนี้จะให้ผู้เรียนรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด มาจากที่ใด และจะสามารถไปยังที่ใดได้อีก การให้กรอบอ้างอิงนี้ผู้เรียนจะสามารถมุ่งเน้นอยู่กับเนือ้หาสาระในโปรแกรมการเรียน
7. เทคนิคในการกำหนดตำแหน่งสาระบนหน้าจอ
7.1. วางสาระสำคัญในตำแหน่งที่สำคัญหรือส่วนบนของหน้าจอ หลีกเลี่ยงการวางไว้ในตำแหน่งริม
7.2. แสดงสาระที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างหน้าจอ ต่อ หน้าจอ เช่น เนื้อหาของการสอน ไว้บริเวณส่วนกลางของหน้าจอ
7.3. วางสาระที่บอกสิ่งที่แสดงอยู่ปัจจุบัน เช่น เมนู ไว้ในตำแหน่งที่คงที่
7.4. แสดงปุ่มการนำทางไว้ใกล้ขอบของหน้าจอ
8. เมื่อต้องการแสดงสาระสำคัญที่ต้องการดึงดูด หรือ นำสายตาผู้เรียน ให้ใช้เทคนิค เช่น
8.1. ลูกศร ป้ายชื่อ การบรรยาย
8.2. แยกสาระนั้นออกมาต่างหาก ในรูปวัตถุใดวัตถุหนึ่ง
8.3. ใช้วินโดว์สโผล่
8.4. ใช้สีหรือรูปร่างเข้าช่วย
8.5. ใช้การไฮไลต์สี ทำขอบ หรือ เส้นใต้
8.6. มีการแยกสีหรือชนิดของอักษร
8.7. ทำตัวกระพริบ
9. เทคนิคที่ช่วยในการชี้แนะสาระ
9.1. ใช้การกระพริบ กรณีที่จำเป็น หรือ ต้องการดึงความสนใจผู้เรียนให้เกิดขึ้นทันที
9.2. ระวังขอบให้อยู่ห่างจากวัตถุที่ล้อมรอบ
9.3. ให้ไฮไลต์หรือใช้สีสว่างบริเวณที่ต้องการเน้น หรือทำให้สีพื้นเบื้องหลังมืดลง
9.4. จำกัดให้การไฮไลต์ไม่เกิน 10% ของหน้าจอ
9.5. หลีกเลี่ยงการใช้ตัวชี้แนะมากเกินไปในแต่ละครั้ง
10. เทคนิคเกี่ยวกับสี
10.1. จำกัดจำนวนของสีบนหน้าจอแต่ละครั้ง การใช้สีมากเกินไปทำให้ลดความคุณภาพและความสวยงาม
10.2. ให้ใช้สีอักษรเข้มบนพื้นสีอ่อน สีฟ้าคือสีพื้นหลังที่ดีที่สุด แต่อย่าใช้สีน้ำเงินหรือฟ้าเป็นตัวข้อความ ขอบ เส้น หรือ สิ่งต่างๆที่มีขนาดเล็ก
10.3. ให้หลีกเลี่ยงการใช้ตัวชี้แนะ (cue) ที่ใช้ความแตกต่างของสีเท่านั้น อาจใช้รูปร่างประกอบด้วย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สำหรับผู้เรียนที่มีความพิการทางการเห็นสี
การออกแบบและพัฒนาเลิร์นนิ่ง อ๊อบเจ็ค
การพัฒนาเลิร์นนิ่ง อ๊อบเจ็ค ต้องอาศัยทีมงานในการทำงานซึ่งประกอบด้วย อย่างน้อย ได้แก่
1) ผู้ชำนาญด้านเนื้อหา
2)นักออกแบบการเรียนการสอน
3) นักออกแบบกราฟิก
4) ผู้เขียนโปรแกรม
ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.ขั้นตอนการพัฒนาเนื้อหา นักออกแบบหรือหัวหน้าผู้พัฒนาคอร์ส คือ ผู้ที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้ เป็นหลัก โดยปรึกษาประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และอาจปรึกษากับทีมงานกราฟิกและโปรแกรมในช่วงของการเขียนสตอรี่บอร์ด โดยดำเนินการ ดังนี้
1.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ หรือขีดความสามารถของผู้เรียนที่ต้องการ(competency)
1.2 กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยอาจเทียบเคียงกับกิจกรรมที่เคยใช้ในห้องเรียนที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน การเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้ง ค้นคว้าศึกษา กิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม จากแหล่งความรู้ทั่วไป และ ผู้สอนอื่นๆ
1.3 วิเคราะห์ผู้เรียน เช่น ลักษณะการเรียนรู้ (learning style) เป้าหมายทางการปฏิบัติงานหรืออาชีพ เพื่อกำหนดความเหมาะสมของกิจกรรม
1.4 เขียนสตอรี่บอร์ด (storyboard scripting) เป็นการกำหนด สิ่งที่จะปรากฏบนหน้าจอ รวมทั้ง การปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับโปรแกรมการนำเสนอเนื้อหา ซึ่งในขั้นตอนผู้ออกแบบจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิด และได้รับความตกลงเห็นพ้องกับทีมงานกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และทีมงานผลิต
1.4.1 กำหนดกรอบหรือมโนทัศน์ ภาพลักษณ์โดยรวม การใช้สัญลักษณ์ หรือ อุปมา ของ คอร์สทั้งหมด
1.4.2 เลือกองค์ประกอบของสื่อที่จะใช้ ซึ่งมีลักษณะของสื่อที่ต้องพิจาณา 2 ประเภท คือ Host stage media คือ สื่อที่เป็นฐานให้กับ เลิร์นนิ่ง อ๊อบเจคนั้นๆ เช่น เว็บเพจ จาวา และ Feature media เช่น ข้อความ เสียง คลิปวีดิทัศน์
1.5 เขียนโฟล์วชาร์ต (flowchart) การเขียนโฟล์วชาร์ต ช่วยสื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างหน้าจอแต่ละหน้า ในรูปแบบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งตอบสนองคุณสมบัติของสื่อผสมหลายมิติได้ดี ทั้งนี้ การเขียนสตอรี่บอร์ดทำหน้าที่แสดงรายละเอียดในแต่ละหน้า ซึ่งอาจไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างหน้า หรือข้ามไปยังหน้าอื่นๆ ได้ชัดเจน เท่าการเขียนแสดงในโฟล์วชาร์ตนำ หรือ กำกับไว้ด้วย
2. การผลิต ขั้นตอนนี้เป็นความรับผิดชอบของทีมงานสร้าง ซึ่งจะทำงานตามสตอรี่บอร์ด และแผนที่ได้วางไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1 ทีมงานผลิต ศึกษา โฟล์วชาร์ต และ สตอรี่บอร์ดโดยละเอียด
2.2 ทีมงานผลิต ให้คำแนะนำ เกี่ยวกับรูปแบบ และอาจเสนอประเด็นปัญหาในเชิงเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น ให้กับ นักออกแบบหรือหัวหน้าผู้พัฒนาคอร์ส เพื่อร่วมแก้ไข
2.3 ทีมงานผลิต กรณีที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ทีงานผลิตอาจแยกความรับผิดชอบงานออกเป็นชิ้นย่อย เช่น วัตถุสามมิติ วีดิทัศน์ เสียง จึงลงมือสร้าง และนำมารวบรวมในไซต์ที่กำหนดไว้ระหว่างการทดสอบ
เขียนโดย ปิยะวรรณ เตียวปิยกุล ห้องB เลขที่38 ที่ 22:34 0 ความคิดเห็น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)