วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บทความข่าว (สอบวันที่ 5 มีนาคม 2553)

เล็งสั่งปิดมหาวิทยาลัยห้องแถวร้อยกว่าแห่งทั่วประเทศ
+โพสต์เมื่อวันที่ : 26 ก.พ. 2553

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหากรณีที่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชธานี จ.อุบลราชธานี ร้องเรียนให้นายกรัฐมนตรีแก้ปัญหากรณีมหาวิทยาลัยเปิดหลักสูตรพยาบาลให้เรียนเกินโควตาที่รับสอนได้ว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยสั่งปิดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมาที่มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกัน คือเปิดหลักสูตร ทั้งที่รู้ว่าไม่มีศักยภาพเพียงพอ

นอกจากนี้ยังสั่งให้ดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญา เพื่อไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง แม้จะมีการขอร้องกันเพราะเจ้าของเป็นอดีตส.ว.ก็ตาม แต่ตนไม่สนใจเพราะถือว่าหากินกับเด็กๆ โดยหวังค่าเล่าเรียนเท่านั้น ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบมหาวิทยาลัยที่มีลักษณะเช่นนี้คือไปเช่าอาคารพาณิชย์ แล้วเปิดสอนบางสาขาที่คนนิยมมาก อย่างพยาบาล ซึ่งพบว่ามีนับร้อยแห่งทั่วประเทศ ซึ่งท้ายสุดผลเสียก็ตกอยู่กับนักศึกษาที่จบการศึกษาไป เพราะบางสาขาต้องมีใบประกอบวิชาชีพ แต่มหาวิทยาลัยเหล่านั้นไม่มี


ส.ค.ศ.ท.เสนอแนวทางการแก้ปัญหาขาดแคลนครู
+โพสต์เมื่อวันที่ : 23 ก.พ. 2553

อีก ๑๐ ปีข้างหน้า ครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะเกษียณจำนวนกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน จากจำนวนครูที่มีอยู่จำนวน ๔๒๐,๐๐๐ คน สาขาที่มีครูเกษียณมากที่สุดคือ ครูภาษาไทย ซึ่งหากภาษาไทยไม่เข้มแข็งแล้ว ก็โยงไปสู่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ไม่เข้มแข็งด้วย

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้พบหารือกับสภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย (ส.ค.ศ.ท.) จาก ๗๔ สถาบัน เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ ที่ห้องประชุมกระทรวงศึกษาธิการ

รมว.ศธ.กล่าวว่า ส.ค.ศ.ท.เป็นสถาบันที่ดูแลการผลิตครูทั่วประเทศ ได้นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาขาดแคลนครู ซึ่งอีก ๑๐ ปีข้างหน้า ครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะเกษียณจำนวนกว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน จากจำนวนครูที่มีอยู่จำนวน ๔๒๐,๐๐๐ คน สาขาที่มีครูเกษียณมากที่สุดคือ ครูภาษาไทย ซึ่งหากภาษาไทยไม่เข้มแข็งแล้ว ก็โยงไปสู่คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่ไม่เข้มแข็งด้วย ส.ค.ศ.ท.จึงได้ศึกษาสภาพปัญหาของสถาบันผลิตครูที่มีครูแยกตัวออกไปเนื่องจากการขยายตัวของสถาบันอุดมศึกษา และได้เสนอทางออกดังนี้

- จัดสรรอัตราพิเศษไปให้สถาบันผลิตครูซึ่งมีครูที่เข้มแข็งในบางสาขา

- พัฒนาครูที่ยังไม่จบปริญญาเอก ให้มีโอกาสศึกษาต่อ

- สนับสนุนให้ครูที่จบปริญญาเอกแล้ว ได้มีโอกาสศึกษาต่อเพิ่มเติม

- ให้มีความเชื่อมต่อระหว่างหน่วยงานต่างๆ เช่น สพฐ., สกอ.โดยเชิญครูต้นแบบ ครูแห่งชาติ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน

รมว.ศธ.กล่าวถึงปัญหาขาดแคลนครูว่า ต้องมีการเตรียมการที่ชัดเจนในการผลิตครูมารองรับทั้งระบบ รวมทั้งจะมีการลงทุนเพื่อการศึกษาโดยทำ Mega Project เรื่องการศึกษา มีการทำ Roadmap ที่ชัดเจน ในการบริหารจัดการศึกษาแบบใหม่ โดยต้องให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัยที่เปิดคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ต้องประกาศความสมัครใจภายใต้ศักยภาพที่พร้อมเป็นศูนย์ผลิตและพัฒนาครู ที่เป็นมืออาชีพและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ต้องมีแผนการลงทุนมหภาคที่ชัดเจน จัดอัตรากำลังครูที่ชัดเจนว่าครูประเภทใดที่จะเป็นต้นแบบ ครูต้องผ่านการเรียนหลักสูตรการผลิตครูที่แท้จริงอย่างน้อย ๕ ปี และมีกระบวนการเข้มข้นมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนศักยภาพในแต่ละสาขาจากสถาบันต่างๆ มีคณะกรรมการที่ดูแลยุทธศาสตร์เรื่องนี้อย่างจริงจัง คือ คณะกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติ เมื่อมีการผลิตแล้วก็ต้องทำระบบพัฒนาครูอย่างยั่งยืน เปลี่ยนกรอบความคิดครูจากสอนหนังสือเป็นสอนคนต่อไป จะให้คณะกรรมการคุรุศึกษาแห่งชาติมาดู โดยจะจัดทำเครือข่ายเพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน


รมว.ศธ.ขอให้มีการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้ของคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ เรื่องทำอย่างไรให้เด็กอยากอ่านหนังสือ รวมถึงการปรับคุณธรรมให้เข้มแข็งขึ้น ภายใต้เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง และให้วิจัยถึงห้องเรียนด้วยเพื่อนำมาเป็นต้นแบบ ทั้งนี้จะพัฒนาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ให้อยู่ในความสนใจของนักเรียน โดยจะขอแก้ไข พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และจะขอเพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำของครูให้สูงขึ้น เพื่อจูงใจให้คนเก่งมาเป็นครูให้มากขึ้น.

ที่มา www.kroobannok.com/show_all_article.php?cat_id=29

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สรุปบทความ


แนวทางของการออกแบบองค์ประกอบทางทัศนะ

สารสนเทศที่นำเสนอด้วยการมองเห็นหรืออ่าน เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน มีแนวทางในการออกแบบ ได้แก่
1. ควรนำเสนอสาระพอควรในแต่ละหน้าจอ ไม่ควรบรรจุสาระแน่น เกินไป ทำให้ลดประสิทธิภาพในการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องใช้เวลามากในการเรียนรู้ และทำให้ผู้เรียนยิ่งผิดพลาดมากขึ้น
2. กรณีที่ต้องมีการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ควรเสนอสาระนั้นๆเป็นกลุ่มย่อยๆ และเป็นช่วงๆ ด้วยวิธีการนำเสนอ สร้างหน้าจอซ้อน วินโดวส์แทรก หรือปุ่มสัญรูปให้ผู้เรียนกด
3. กรณีใช้กรอบวินโดวส์เพื่อรวมหรือแยกสารสนเทศออกจากกัน ในการนำเสนอ เพื่อวัตถุประสงค์ ได้แก่
3.1. ดึงความสนใจของผู้เรียนไปยังสาระบางอย่าง
3.2. เพื่อลดความแน่นของหน้าจอ
3.3. สร้างรูปแบบการนำเสนอ ให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับสาระ ในตำแหน่งบนหน้าจอต่างๆ
4. ใช้ปุ่มที่สื่อความหมายเป็นรูปธรรม ง่ายต่อความเข้าใจ และจูงความสนใจผู้เรียน
5. ให้ใช้การนำเสนอด้วยรูปภาพ ไดอะแกรม และโฟล์วชาร์ต ในกรณีที่สามารถนำเสนอสาระเหล่านั้นในรูปแบบที่แสดงความสัมพันธ์ได้ การเสนอภาพ จะช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม ง่ายต่อความเข้าใจและจำได้
6. เทคนิคที่ช่วยนิเทศก์ผู้เรียน
6.1. วางสาระ หรือ องค์ประกอบต่างๆ ในตำแหน่งที่คงที่
6.2. วางผังของหน้าจอ(เลย์เอ้าท์) ให้สม่ำเสมอในหน้าจอประเภทเดียวกัน
6.3. กำหนดรูปแบบของทัศนะบนหน้าจอให้คงที่ ถ้ามีความจำเป็นในการเปลี่ยน ควรทำการการชี้แนะให้ผู้เรียนตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงนั้น
6.4. ใช้ขนาดของ สี และรูปร่าง เป็น ตัวชี้แนะ
6.5. ใช้ป้ายหรือสัญลักษณ์บอกตำแหน่ง ทำให้ผู้เรียนจำได้ว่าศึกษาอยู่ที่ส่วนใด ผ่านมาจากส่วนใด และมีส่วนใดอีกบ้าง และจะไปยังส่วนนั้นๆ ได้อย่างไร ซึ่งป้ายหรือสัญลักษณ์บอกตำแหน่งนี้ควรมีให้อ้างอิงโดยง่าย ที่จะไม่ต้องให้ผู้เรียนเคลื่อนย้ายจากตำแหน่งที่เรียนอยู่ในปัจจุบัน
6.6. ให้มีมุมแบบนกมอง คือ สามารถมองได้ทั้ง ระยะไกล หรือ ใกล้จนเห็นรายละเอียด เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เป็นกรอบอ้างอิง และให้ความรู้สึกว่าควบคุมได้ กรอบอ้างอิงนี้จะให้ผู้เรียนรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด มาจากที่ใด และจะสามารถไปยังที่ใดได้อีก การให้กรอบอ้างอิงนี้ผู้เรียนจะสามารถมุ่งเน้นอยู่กับเนือ้หาสาระในโปรแกรมการเรียน
7. เทคนิคในการกำหนดตำแหน่งสาระบนหน้าจอ
7.1. วางสาระสำคัญในตำแหน่งที่สำคัญหรือส่วนบนของหน้าจอ หลีกเลี่ยงการวางไว้ในตำแหน่งริม
7.2. แสดงสาระที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างหน้าจอ ต่อ หน้าจอ เช่น เนื้อหาของการสอน ไว้บริเวณส่วนกลางของหน้าจอ
7.3. วางสาระที่บอกสิ่งที่แสดงอยู่ปัจจุบัน เช่น เมนู ไว้ในตำแหน่งที่คงที่
7.4. แสดงปุ่มการนำทางไว้ใกล้ขอบของหน้าจอ
8. เมื่อต้องการแสดงสาระสำคัญที่ต้องการดึงดูด หรือ นำสายตาผู้เรียน ให้ใช้เทคนิค เช่น
8.1. ลูกศร ป้ายชื่อ การบรรยาย
8.2. แยกสาระนั้นออกมาต่างหาก ในรูปวัตถุใดวัตถุหนึ่ง
8.3. ใช้วินโดว์สโผล่
8.4. ใช้สีหรือรูปร่างเข้าช่วย
8.5. ใช้การไฮไลต์สี ทำขอบ หรือ เส้นใต้
8.6. มีการแยกสีหรือชนิดของอักษร
8.7. ทำตัวกระพริบ
9. เทคนิคที่ช่วยในการชี้แนะสาระ
9.1. ใช้การกระพริบ กรณีที่จำเป็น หรือ ต้องการดึงความสนใจผู้เรียนให้เกิดขึ้นทันที
9.2. ระวังขอบให้อยู่ห่างจากวัตถุที่ล้อมรอบ
9.3. ให้ไฮไลต์หรือใช้สีสว่างบริเวณที่ต้องการเน้น หรือทำให้สีพื้นเบื้องหลังมืดลง
9.4. จำกัดให้การไฮไลต์ไม่เกิน 10% ของหน้าจอ
9.5. หลีกเลี่ยงการใช้ตัวชี้แนะมากเกินไปในแต่ละครั้ง

10. เทคนิคเกี่ยวกับสี
10.1. จำกัดจำนวนของสีบนหน้าจอแต่ละครั้ง การใช้สีมากเกินไปทำให้ลดความคุณภาพและความสวยงาม
10.2. ให้ใช้สีอักษรเข้มบนพื้นสีอ่อน สีฟ้าคือสีพื้นหลังที่ดีที่สุด แต่อย่าใช้สีน้ำเงินหรือฟ้าเป็นตัวข้อความ ขอบ เส้น หรือ สิ่งต่างๆที่มีขนาดเล็ก
10.3. ให้หลีกเลี่ยงการใช้ตัวชี้แนะ (cue) ที่ใช้ความแตกต่างของสีเท่านั้น อาจใช้รูปร่างประกอบด้วย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สำหรับผู้เรียนที่มีความพิการทางการเห็นสี



การออกแบบและพัฒนาเลิร์นนิ่ง อ๊อบเจ็ค

การพัฒนาเลิร์นนิ่ง อ๊อบเจ็ค ต้องอาศัยทีมงานในการทำงานซึ่งประกอบด้วย อย่างน้อย ได้แก่
1) ผู้ชำนาญด้านเนื้อหา
2)นักออกแบบการเรียนการสอน
3) นักออกแบบกราฟิก
4) ผู้เขียนโปรแกรม
ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.ขั้นตอนการพัฒนาเนื้อหา นักออกแบบหรือหัวหน้าผู้พัฒนาคอร์ส คือ ผู้ที่รับผิดชอบงานในส่วนนี้ เป็นหลัก โดยปรึกษาประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และอาจปรึกษากับทีมงานกราฟิกและโปรแกรมในช่วงของการเขียนสตอรี่บอร์ด โดยดำเนินการ ดังนี้

1.1 กำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ หรือขีดความสามารถของผู้เรียนที่ต้องการ(competency)
1.2 กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยอาจเทียบเคียงกับกิจกรรมที่เคยใช้ในห้องเรียนที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน การเรียนอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้ง ค้นคว้าศึกษา กิจกรรมอื่นๆ ที่เหมาะสม จากแหล่งความรู้ทั่วไป และ ผู้สอนอื่นๆ

1.3 วิเคราะห์ผู้เรียน เช่น ลักษณะการเรียนรู้ (learning style) เป้าหมายทางการปฏิบัติงานหรืออาชีพ เพื่อกำหนดความเหมาะสมของกิจกรรม
1.4 เขียนสตอรี่บอร์ด (storyboard scripting) เป็นการกำหนด สิ่งที่จะปรากฏบนหน้าจอ รวมทั้ง การปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับโปรแกรมการนำเสนอเนื้อหา ซึ่งในขั้นตอนผู้ออกแบบจะต้องทำงานอย่างใกล้ชิด และได้รับความตกลงเห็นพ้องกับทีมงานกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา และทีมงานผลิต

1.4.1 กำหนดกรอบหรือมโนทัศน์ ภาพลักษณ์โดยรวม การใช้สัญลักษณ์ หรือ อุปมา ของ คอร์สทั้งหมด

1.4.2 เลือกองค์ประกอบของสื่อที่จะใช้ ซึ่งมีลักษณะของสื่อที่ต้องพิจาณา 2 ประเภท คือ Host stage media คือ สื่อที่เป็นฐานให้กับ เลิร์นนิ่ง อ๊อบเจคนั้นๆ เช่น เว็บเพจ จาวา และ Feature media เช่น ข้อความ เสียง คลิปวีดิทัศน์

1.5 เขียนโฟล์วชาร์ต (flowchart) การเขียนโฟล์วชาร์ต ช่วยสื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างหน้าจอแต่ละหน้า ในรูปแบบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งตอบสนองคุณสมบัติของสื่อผสมหลายมิติได้ดี ทั้งนี้ การเขียนสตอรี่บอร์ดทำหน้าที่แสดงรายละเอียดในแต่ละหน้า ซึ่งอาจไม่สามารถแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างหน้า หรือข้ามไปยังหน้าอื่นๆ ได้ชัดเจน เท่าการเขียนแสดงในโฟล์วชาร์ตนำ หรือ กำกับไว้ด้วย

2. การผลิต ขั้นตอนนี้เป็นความรับผิดชอบของทีมงานสร้าง ซึ่งจะทำงานตามสตอรี่บอร์ด และแผนที่ได้วางไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1 ทีมงานผลิต ศึกษา โฟล์วชาร์ต และ สตอรี่บอร์ดโดยละเอียด
2.2 ทีมงานผลิต ให้คำแนะนำ เกี่ยวกับรูปแบบ และอาจเสนอประเด็นปัญหาในเชิงเทคนิคที่อาจเกิดขึ้น ให้กับ นักออกแบบหรือหัวหน้าผู้พัฒนาคอร์ส เพื่อร่วมแก้ไข
2.3 ทีมงานผลิต กรณีที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ทีงานผลิตอาจแยกความรับผิดชอบงานออกเป็นชิ้นย่อย เช่น วัตถุสามมิติ วีดิทัศน์ เสียง จึงลงมือสร้าง และนำมารวบรวมในไซต์ที่กำหนดไว้ระหว่างการทดสอบ
เขียนโดย ปิยะวรรณ เตียวปิยกุล ห้องB เลขที่38 ที่ 22:34 0 ความคิดเห็น







วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Virtual Classroom
-เป็นการจัดสิ่งแวดล้อมในความว่างเปล่า โดยอาศัยศักยภาพของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
-เพื่อให้เป็นการจัดประสบการณ์
-มีการเข้าถึงข้อมูลโดยการพิมพ์ อ่าน ผ่านคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ที่มีซอฟแวร์เพื่อควบคุมการสร้างบรรยากาศแบบห้องเรียนเสมือน
-การมีส่วนร่วมจะเป็นแบบภาวะต่างเวลาAsynchronize ซึ่งทำให้มีผู้เรียน ในระบบห้องเรียนเสมือนสามารถเชื่อมต่อเข้าไปศึกษาได้ทุกที่ทุกเวลา
-ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
Face to face มีข้อจำกัดดั้งนี้
1. สถานที่จำกัดเฉพาะในห้องเรียน
2. การเรียนรู้จำกัดเฉพาะครู ผู้เรียน และตำรา
3. เวลาในการจัดการเรียนการสอนไม่เอื้อ
4. โอกาสในการเรียน สถานที่เรียนไม่พอ
5. สัดส่วนของครูและนักเรียนไม่เหมาะสม
วัตถุประสงค์ของ Virtual Classroom
-เปิดโอกาสให้บุคคลสามารถเข้าถึงและได้รับการศึกษาหลังมัธยมศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ
-ประยุกต์เข้ากับ การเรียนแบบร่วมมือ Collaborative leaning
-พัฒนาโอกาสของ การเข้าถึงการศึกษาโดยพิจารณาจากแนวคิดที่เกี่ยวกับห้องเรียนเสมือนใน ประเด็นต่างๆดั้งนี้
ข้อดี
1.สถานที่ ผู้เรียนอาจจะเลือกเรียนรายวิชาใดๆจากผู้สอนคนใดคนหนึ่งทั่วโลกหากมีการเปิดโอกาสให้ลงทะเบียนเรียนได้โดยไม่มีขีดจำกัดในเรื่องสถานที่
2.เวลาที่ยืดหยุ่น ผู้เรียนอาจจะมีส่วนร่วมได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน การได้รับข้อมูลย้อนกลับจากผู้สอนและเพื่อนที่เรียนร่วมกันจะไมมีข้อจำกัด เรื่องเวลา
3.ไม่มีการเดินทาง ผู้เรียนสามารถทำงานและศึกษาอยู่กับบ้านได้อย่างสะดวกสบายโดยเฉพาะ ผู้เรียนที่มีอุปสรรค
4.ประหยัดเวลา ผู้เรียน
5.ทำงานร่วมกัน ผู้เรียนในระบบห้องเรียนเสมือนจะสามารถอภิปรายปัญหาร่วมกัน
6.โอกาสการมีส่วนร่วม ด้วยระบบสื่อสารด้วยคอมพิวเตอร์เป็นสื่อกลาง สามารถเปิดโดกาสให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการถามคำถาม การให้ข้อสังเกตและการทำกิจกรรมร่วมกัน
ข้อจำกัด
1 แหล่งเรียนมีจำกัด สถาบันที่เสนอรายวิชาแบบห้องเรียนเสมือนจำกัดมาก ทำให้ยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับเหล่งที่จะเรียนในปัจจุบัน
2 เครื่องมือที่จำเป็น ผู้เรียนต้องมีคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
3 การให้ข้อมูลย้อนกลับล่าช้า
4 ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อการติดต่อสื่อสาร การใช้ซอฟแวร์ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาข้อข้องจากการใช้คอมพิวเตอร์เบื้อต้นได้

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การบ้าน 12/11/2009

  • 11.1 ความหมายของ e-Learning


    e-Learning (Electronic learning) คือ การเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
    ความหมายของ E-learning ถูกตีความต่างกันไปตามประสบการณ์ของแต่ละคน แต่มีส่วนที่เหมือนกันคือใช้เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยมีการพัฒนาตลอดเวลา ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สำหรับผู้เขียนให้ความหมายของ E-learning ว่าเป็น "การใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตเข้ามาส่งเสริมการเรียน การสอน ให้เกิดประสิทธิผล"
    คำว่า E นั้นย่อมาจาก Electronic ส่วนคำว่า learning มีความหมายตรงตัวว่าการเรียนรู้ เมื่อนำมารวมกันหมายถึงการเรียนรู้โดยใช้ electronic หรือ internet เป็นสื่อ คำที่มีความหมายใกล้เคียงเช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI = Computer Assisted Instruction) หรือ การสอนบนเว็บ (WBI = Web-based Instruction) ที่มา www.thaiall.com





    ความหมายเว็บช่วยสอน (Web - Based Instruction : WBI)

    นปัจจุบันเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตได้พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว และได้ก้าวมาเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนการสอน การฝึกอบรม รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ โดยพัฒนา CAI เดิมๆ ให้เป็นสื่อการเรียนการสอนที่อยู่บนฐานของเทคโนโลยีเว็บ หรือ WBI (Web-based Instruction) ส่งผลให้การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนได้รับความนิยมอย่างสูง สามารถเผยแพร่ได้รวดเร็ว และกว้างไกลกว่าสื่อ CAI ด้วยประเด็นสำคัญได้แก่
    คุณสมบัติของเอกสารเว็บที่สามารถนำเสนอข้อมูลได้ทั้งข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิทัศน์ และสามารถสร้างจุดเชื่อมโยง (Links) ไปตำแหน่งต่างๆ ได้ตามความต้องการของผู้พัฒนา
    บริการต่างๆ ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้เกิดช่องทางการสื่อสารระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนในระบบ 7 x 24 และไม่จำกัดด้วยสถานที่

    การเรียนการสอนผ่านเว็บ ( Web base Instruction ) จึงหมายถึง การรวมคุณสมบัติของสื่อหลายมิติ (Hypermedia) กับ คุณลักษณะของอินเตอร์เน็ตและเวิล์ดไวด์เว็บ มาออกแบบเป็นเว็บเพื่อการเรียนการสอน สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา โดยมีลักษณะที่ผู้เรียนและผู้สอนมี ปฏิสัมพันธ์กันโดยผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงถึงกัน ที่มา
    http://lanta.giti.necuec.or.th

    คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)



    หรือ ซีเอไอ (CAI) มีผู้สรุปความหมายไว้คล้ายคลึงกันหลายความหมาย ดังต่อไปนี้คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือโปรแกรมช่วยสอน คือสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนอันหนึ่ง CAI คล้ายกับสื่อการสอนอื่น ๆ เช่น วิดีโอช่วยสอน บัตรคำช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะดีกว่าตรงที่ตัวสื่อการสอน ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์นั้น สามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคำสั่งเพื่อมาปฏิบัติ ตอบคำถามหรือไม่เช่นนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะเป็นฝ่ายป้อนคำถาม (นัยนา เอกบูรณวัฒน์, 2539)คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) หมายถึง การประยุกต์นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นเพื่อนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Tutorial) แบบจำลองสถานการณ์ (Simulations) หรือแบบการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) เป็นต้น การเสนอเนื้อหาดังกล่าวเป็นการเสนอโดยตรงไปยังผู้เรียนผ่านทางจอภาพหรือแป้นพิมพ์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม วัสดุทางการสอนคือโปรแกรมหรือ Courseware ซึ่งปกติจะถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นดิสก์หรือหน่วยความจำของเครื่องพร้อมที่จะเรียกใช้ได้ตลอดเวลา การเรียนในลักษณะนี้ ในบางครั้งผู้เรียนจะต้องโต้ตอบ หรือตอบคำถามเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคำถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์ และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรียนขั้นต่อ ๆ ไป กระบวนการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ (ศิริชัย สงวนแก้ว, 2534)คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรื CAI คือ การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมการเรียน การเรียนการสอนที่ผ่านคอมพิวเตอร์ประเภทใดก็ตาม กล่าวได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI มีคำที่ใช้ในความหมายเดียวกันกับ CAI ได้แก่ Computer-Assisted Learning (CAL) , Computer-aided Instruction (CaI) , Computer-aided Learning (CaL) เป็นต้น (Hannafin & Peck, 1988)คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือบทเรียนซีเอไอ (Computer-Assisted Instruction; Computer-Aided Instruction : CAI) คือ การจัดโปรแกรมเพื่อการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อช่วยถ่ายโยงเนื้อหาความรู้ไปสู่ผู้เรียน และปัจจุบันได้มีการบัญญัติศัพท์ที่ใช้เรียกสื่อชนิดนี้ว่า“คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน” (วุฒิชัย ประสารสอน, 2543)จากความดังกล่าว สามารถสรุปความหมายของ “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” หรือ CAI คือ การนำคอมพิวเตอร์มาเป็นเครื่องมือสร้างให้เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้เรียนนำไปเรียนด้วยตนเองและเกิดการเรียนรู้ ในโปรแกรมประกอบไปด้วย เนื้อหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะของการนำเสนอ อาจมีทั้งตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สีหรือเสียง เพื่อดึงดูดให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการแสดงผลการเรียนให้ทราบทันทีด้วยข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียน และยังมีการจัดลำดับวิธีการสอนหรือกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละคน ทั้งนี้จะต้องมีการวางแผนการในการผลิตอย่างเป็นระบบในการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่แตกต่างกันคำภาษาอังกฤษที่ใช้เรียก คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้แก่ Computer Assisted Instruction (CAI), Computer Aided Instruction (CAI), Computer Assisted Learning (CAL), Computer Aided Learning (CAL), Computer Based Instruction (CBI), Computer Based Training (CBT), Computer Administered Education (CAE) , Computer Aided Teaching (CAT) แต่คำที่นิยมใช้ทั่วไปในปัจจุบันได้แก่ Computer Assisted Instruction หรือ CAIนอกจากนั้น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเองยังมีลักษณะที่เรียกว่า “บทเรียนสำเร็จรูป”แต่เป็นบทเรียนสำเร็จรูปโดยการใช้ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นตัวกลางแทนสิ่งพิมพ์หรือสื่อประเภทต่าง ๆ ทำให้บทเรียนสำเร็จรูปในคอมพิวเตอร์มีศักยภาพเหนือกว่าบทเรียนสำเร็จรูปในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งหมดโดยเฉพาะมีความสามารถที่เกือบจะแทนครูที่เป็นมนุษย์ได้มีขั้นตอนการสร้างและการพัฒนาบทเรียนเช่นเดียวกับบทเรียนสำเร็จรูปประเภทอื่น ๆ (ไพโรจน์ ตีรณธนากุล, 2528)จากลักษณะของสื่อที่เป็น “บทเรียนสำเร็จรูป” และสื่อที่เป็น “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” จึงสามารถสรุปเป็นความหมายของ “บทเรียนสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์การสอน” (ComputerInstruction Package :CI Package ) ว่าหมายถึง บทเรียนสำเร็จรูปที่สร้างขึ้นในลักษณะซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Package Software) นำไปสอน (Instruction) เนื้อหาใหม่ โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนบทเรียนหรือนำเสนอบทเรียน ผู้เรียนสามารถเรียนด้วยตนเองได้ตามระดับความสามารถของตนเอง ในบทเรียนมีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน จุดเด่นที่สำคัญของบทเรียน คือ การนำเสนอเนื้อหาในลักษณะหลายสื่อ (Multimedia) ได้แก่ประเภท ข้อความ (Text) รูปภาพ (Image) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) ภาพวิดีโอ (Video) และเสียง (Audio) โดยที่ผู้เรียนจะมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์ (Interactive) กับบทเรียนโดยผ่านเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ได้ตลอดเวลา ที่มา www.baanmaha.com




    ความหมายของ CAI (COMPUTER-ASSISTED INSTRUCTION)


    สื่อมัลติเดียที่ถูกสร้างขี้นจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นำมาใช้การเรียนการสอน CAI (CAI,Computer-Assisted Indtruction) แต่ปัจจุบันมีผู้นิยมคำว่า CBT (Computer Based Teaching หรือComputer Based Training) มากกว่า คำใหม่นี้ถ้าแปลตามตัวก็คงหมายถึง การสอนหรือการฝึกอบรมโดย ใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลักนอกจากนี้ในอเมริกาก็ยังมีคำนิยมใช้กันอีกคำหนึ่งคือCMI (Compuyter Managed Instruction) หมายถึงการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยจัดการให้ ส่วนในยุโรปมักจะใช้คำแตกต่างจากในอเมริกันในยุโรปในปัจจุบันคือ CBE (Computer Based Education) หมายถึงการศึกษาโดยอาศัยคอมพิวเตอร์เป็นหลักนอกจากนี้ก็มีอีกสองคำที่แพร่หลายเช่นกัน คือ CAL (Computer assisted Learning) และ CML (Computer Manager Learlming) เป็นการเรียน (Learning) สำหรับในประเทศไทยนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องมักนิยมใช้คำว่า CAI มากกว่า CBT หรือคำอื่น ๆ ส่วนในภาษาไทยนั้นจะใช้แตกต่างกันไป เช่น ใช้คำว่าบทเรียน CAI ตรงตัว บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียนช่วยสอนด้วยคอมพิวเตอร์ บทเรียนสำเร็จรูปด้วยคอมพิวเตอร์ โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ ที่มา http://gotoknow.org



    ความหมายของ m-Learning


    m-Learning (mobile learning) คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป (Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีไร้สาย (wireless telecommunication network) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่อโดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้เครื่องมือสำคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ได้โดยสะดวกและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริง ได้แก่ Notebook Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell Phones ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ที่มา http://learners.in.th





    Virtual class room



    กล่าวได้ว่าได้ว่า ห้องเรียนเสมือน (Virtual Classroom) หมายถึง การเรียนการสอนที่กระทำผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนเข้าไว้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการเครือข่าย (File Server) และคอมพิวเตอร์ผู้ให้บริการเว็บ (Web sever) เป็นการเรียนการสอนที่จะมีการนัดเวลาหรือไม่นัดเวลาก็ได้ และนัดสถานที่ นัดตัวบุคคล เพื่อให้เกิด การเรียนการสอน มีการกำหนดตารางเวลาหรือตารางสอน เข้าสู่กระบวนการเรียนการสอนพร้อมๆ กันหรือไม่พร้อมกัน มีการใช้สื่อการสอนทั้งภาพและเสียง ผู้เรียนสามารถร่วมกิจกรรมกลุ่มหรือตอบ โต้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้สอนหรือกับเพื่อนร่วมชั้นได้เต็มที่ (คล้าย chat room) ส่วนผู้สอน สามารถตั้งโปรแกรมติดตามพัฒนาการประเมินผลการเรียนรวมทั้งประสิทธิภาพของหลักสูตรได้ ทั้งนี้ ไม่จำกัดเรื่องสถานที่ เวลา (Any Where & Any Time) ของผู้เรียนในชั้นและผู้สอน ที่มา http://gotoknow.org





    ความแตกต่างE-Learning กับ Web Base Instruction (WBI)

    ในปัจจุบันเทคโนโลยีด้านเครือข่าย โดยเฉพาะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมีความก้าวหน้ามากขึ้น ในขณะที่ราคาการเชื่อมต่อ การใช้งานมีราคาที่ลดต่ำลง รัฐบาลส่งเสริมให้เกิดการใช้งานในทุกพื้นที่ เช่น โครงการอินเทอร์เน็ตตำบล การใช้เทคโนโลยีเครือข่าย และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตนำเสนอเนื้อหาบทเรียน ในรูปของสื่อมัลติมีเดียผ่านเครือข่ายเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย อันเป็นที่มาของการปฏิรูปสื่อการเรียนรู้จาก CAI เป็น WBI (Web Based Instruction) เป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีกับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้ และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา
    เนื่องจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ที่สร้างรูปแบบการเรียนรู้รูปแบบใหม่ และมีการนำคำต่างๆ มาเรียกเพื่อสื่อความหมาย ไม่ว่าจะเป็นคำว่า WBI (Web Based Instruction) หรือ WBL (Web Based Learning) หรือ WBT (Web Based Training) คงมีหลายท่านสงสัยว่าแต่ละคำมีความหมายเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร จากการศึกษาเอกสารต่างๆ และประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่าทั้ง 3 คำคือการเรียนการสอนด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเช่นเดียวกัน โดยมีจุดเด่นที่ชัดเจนคือ การส่งข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์จะใช้โปรโตคอล TCP/IP และ HTTP และรูปแบบการเรียนการสอนก็เป็นไปได้ทั้งแบบประสานเวลา (Synchronous: ตัวอย่างการพูดคุยด้วย IRC) และแบบไม่ประสานเวลา (Asynchronous: ตัวอย่างการใช้อีเมล์ในการติดต่อสื่อสาร) ที่มา www.stks.or.th




    Computer Assisted Instruction (CAI) กับComputer Manage instruction (CMI)



    CAI (Computer-Assisted Instruction) มีลักษณะเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนสำเร็จรูป เนื้อหาเรื่องราวเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างนักเรียนกับคอมพิวเตอร์ โดยเน้นการเรียนเป็นรายบุคคลศึกษาด้วยตนเอง ใช้จัดระบบการเรียนการสอน

    (Computer-Managed Instruction : CMI) เป็นการนำคอมพิวเตอร์เก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับลักษณะและพฤติกรรมของนักเรียน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ โดยจัดโปรแกรมให้สอดคล้องกับผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถและความถนัดของตน ที่มา http://gotoknow.org






    Web Base Instruction (WBI) กับComputer Assisted Instruction (CAI)

    ความแตกต่าง


    Web Based Instruction หมายถึงการเรียนการสอนที่ใช้เวิลด์วายเว็บเป็นสื่อหรือตัวกลางในการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนในลักษณะของบทเรียนที่ประกอบด้วยเนื้อหา รูปภาพประกอบ เสียง และภาพเคลื่อนไหว ผู้สอนและ ผู้เรียนสามารถใช้เว็บเพจ ในการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สืบค้น ตอบปัญหา ทำแบบฝึกหัด ข้อสอบ และกิจกรรมการเรียนการสอน ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้จากจุดเชื่อมต่อเครือข่าย และการเชื่อมต่อระยะไกล ผ่านโมเด็มโดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) เป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์ ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียน แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือสามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ ที่มาwww.spaces.live.com



    Computer Assisted Instruction (CAI) กับ Mobile Learning (M-Learning



    m-Learning (mobile learning) คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป (Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีไร้สาย (wireless telecommunication network) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่อโดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้เครื่องมือสำคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ได้โดยสะดวกและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริง ได้แก่ Notebook Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell Phones ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ส่วน (CAI) คือ สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์เพื่อทำการถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือ ความรู้ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับผู้เรียนในห้องเรียนมากที่สุด โดยนำเสนอสื่อประสม (Multimedia) ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว กราฟิก แผนภูมิ วีดีทัศน์และเสียง โดยจะนำเสนอเนื้อหาทีละจอภาพ ซึ่งเนื้อหาในคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะได้รับการถ่ายทอดในลักษณะที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและโครงสร้างของเนื้อหา ที่มา http://dit.dru.ac.th

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552



ประวัติส่วนตัว


ชื่อ ปิยะวรรณ นามสกุล เตียวปิยกุล


ชื่อเล่น มิ้น


ที่อยู่ปัจจุบัน 230 ม.4 ต.คลอง6 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 12110


มาจากถิ่นเดิม จ.ตรัง




ภาพยนตร์โปรด แฮรี่พอตเตอร์


สีที่ชอบ ชมพู ฟ้า


อาหารที่ชอบ หมูย่าง ขนมเค้ก


เบอร์โทร 0875645062

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 9, 2009


ถ้ำมรกต ถ้ำมหัศจรรย์กลางทะเล
ถ้ำมรกต ถ้ำมหัศจรรย์กลางทะเล จะเข้าออกได้เฉพาะช่วงน้ำลงเท่านั้น ปากถ้ำเป็นโพรงเล็กๆ การเข้าออกจะต้องลอยคอในน้ำ ลอดถ้ำอันมืดมิด ผ่านเส้นทางคดโค้ง ระยะทางประมาณ 80 เมตร เข้าแถวเรียงหนึ่งตามคนนำทาง จับคนข้างหน้าไว้ให้มั่นไม่งั้นอาจหลงทางได้ เมื่อพ้นปากถ้ำออกมาอีกด้านหนึ่งจะเป็นหาดทรายขาวสะอาดล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชัน ที่มีฟ้าสีครามเป็นหลังคา และผนังแต่งแต้มด้วยลายเขียวของใบไม้ โพรงที่ลอดเข้าถ้ำมรกตจะอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของตัวเกาะ ยามแสงอาทิตย์ทำมุมพอเหมาะทั้งเกาะและเวิ้งถ้ำก็พลันกลายเป็นสีเขียวมรกตงดงามวันเวลาที่แนะนำ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเที่ยวถ้ำมรกตคือช่วงที่น้ำขึ้นเต็มที่ในแต่ละวัน เนื่องจากจะเห็นทะเลสาบสีมรกตงดงามและเวลาที่แสงจะลอดปากปล่องถ้ำมรกตลงมา คือระหว่าง 10.00-14.00 น. การลอดถ้ำสามารถทำได้ตลอดเวลา เดือนที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวคือระหว่างเดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนพฤษภาคม เวลาน้ำลงเพื่อมุดเข้าถ้ำมรกตได้การเดินทาง 1.จากจังหวัดตรัง ใช้ทางหลวงหมายเลข 403 ผ่านอำเภอไปตามถนนรพช. สู่ บ้านหาดยาว มีเรือออกไปเที่ยวถ้ำมรกตและดำน้ำดูปะการังทุกวันที่ท่าเรือบ้านหาดยาว2.จากจังหวัดตรังเดินทางสู่ท่าเรือหาดปากเมง แล้วเช่าเหมาเรือไปเที่ยวถ้ำมรกตได้ครับ
ชื่อของ “ถ้ำมรกต” ที่เรารู้จักกันดีก็คือการได้เห็นความเขียวของน้ำที่สะท้อนออกมาจากแสงที่ส่องผ่านปากถ้ำ เห็นเป็นสีเขียวมรกตสวยงดงาม ตื่นตาตื่นใจกับการที่ได้เห็นความสวยงามของธรรมชาติการเข้าไปดูความสวยงามนั้นเราต้องกระโดดลงน้ำก่อน แล้วทางเรือจะให้เราว่ายน้ำเข้าคิวต่อแถวตามเชือก เพราะว่าคลื่นจะแรงกว่าที่อื่น เนื่องจากว่าเป็นโขดหิน และคลื่นที่ซัดเข้ามาก็จะกระทบและทำให้คลื่นกระแทกกลับมาอีก ทำให้กระแสน้ำแรกพอควร แต่สถานที่ท่องเที่ยวก็ได้ผูกเชือกให้ความสะดวกไว้ เพื่อที่จะได้ไต่เชือกเข้าไป ความสามัคคีนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ คำโบราณที่ว่า “มือไม่พายเอาเท้าลาน้ำ” ก็คงยังใช้ได้ดี เพราะเราจะต้องเอามือไปเกาะไหล่คนข้างหน้าเอาไว้ ตอนที่เราลอดถ้ำเข้าไปชมความงาม มือเกาะบ่า เท้าก็ต้องทำงานไปด้วย เพื่อที่จะพยุงและช่วยให้ทีมของเราฝ่าคลื่นเข้าไปให้ได้
เขียนโดย ปิยะวรรณ เตียวปิยกุล ที่ 1:33 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น